tag:blogger.com,1999:blog-71363471479715546322024-03-14T16:23:40.445+07:00Swine NutritionSuntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.comBlogger212125tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-21124144959843724272013-12-10T22:23:00.001+07:002013-12-10T22:23:06.480+07:00แผนที่ร้าน ป.โทอาหารสัตว์<iframe src="https://mapsengine.google.com/map/embed?mid=z_O1wbM0esD4.kCDhdrsV45n0" width="640" height="480"></iframe>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-59896043234372380432012-07-08T15:34:00.002+07:002012-07-08T15:34:24.052+07:00The Using Broken Job’s tears in Animals Rations<div style="text-align: justify;">
สุนทร เกไกรสร และ ชัยพฤกษ์ หงษ์ลัดดาพร</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
สาขาวิชาสัตวศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย 42000 Email: <a href="mailto:suntornka@hotmail.com">suntornka@hotmail.com</a></div>
<div style="text-align: justify;">
ในสถานการณ์ปัจจุบันวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาที่ผันผวนและปรับสูงขึ้นมากจนส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการเลี้ยงสัตว์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ หรือแม้แต่เป็ดไข่ และเป็ดเนื้อ ทั้งนี้ในการทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาชีพ หรือรายได้เสริมนั้น ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบอาหารสัตว์ หรืออาหารค่าอาหารสัตว์สามารถคำนวณต้นทุนออกมามากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนในการเลี้ยงทั้งหมด เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายสำหรับสายพันธุ์สัตว์ และการจัดการฟาร์ม ซึ่งการลดต้นทุนค่าวัตถุดิบอาหารสัตว์บางตัวลงได้ จะทำให้อาชีพการเลี้ยงสัตว์สามารถลดความเสี่ยงในด้านการขาดทุนลงได้ สร้างรายได้และช่วยให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ได้ยั่งยืนต่อไปได้ วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ใช้ในการประกอบสูตรอาหาร ปัจจุบันที่ใช้กันทั่วไปมีอาทิ ปลาป่น ไก่ป่น หมูป่น กากถั่วเหลือง ปลายข้าว รำ และข้าวโพด เป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในสูตรอาหารมีราคาสูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนค่าอาหารสัตว์สูงขึ้นตามไปด้วย หากเกษตรกรมีวัตถุดิบชนิดอื่น ๆ ที่มีราคาถูกและสามารถทดแทนวัตถุดิบดังกล่าวมานั้น โดยนำวัตถุดิบที่เป็นผลพลอยได้ทางการเกษตร และอุตสาหกรรมในท้องถิ่น มาทดแทนวัตถุดิบที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปดังกล่าว จะช่วยให้ต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ในส่วนที่เป็นค่าอาหารสัตว์ลดต่ำลง และมีสมรรถภาพทางการผลิตใกล้เคียงหรือดีขึ้นกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ทดแทนในท้องถิ่นนั้น ๆ เกษตรกรจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบนั้น ๆ (กรมปศุสัตว์, 2545) </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เดือย (Job’s tears) เป็นธัญพืชตระกูล Gramineae เช่นเดียวกับข้าวโพด และข้าวฟ่าง เดือยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi L. ประเทศไทยเรียกว่า Pearl Barley เดือยในประเทศไทยมี 3 ประเภท คือ เดือยหิน ใช้ประโยชน์ในการทำเครื่องประดับ เดือยขบ ใช้ประโยชน์เป็นอาหารขบเคี้ยว และเดือยการค้า มีเมล็ดกลมฐานแหลม (สมเกียรติ, 2547) เนื่องจากเดือยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงนำมาใช้ประโยชน์เป็นอาหารมนุษย์ อาหารสัตว์ และนอกจากใช้บริโภคโดยตรงแล้ว เดือยยังมีสรรพคุณทางยา และมีการนำมาทำเป็นสมุนไพรได้ด้วย เดือยไทยมีขนาดเมล็ดเล็ก ๆ เปลือกแข็ง สีดำเป็นมัน เมื่อกะเทาะเปลือกออกจะเป็นเมล็ดแป้งสีขาวนวลที่หุ้มด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดสีเหลือง ส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดมีส่วนประกอบของไขมันสูง ส่วนเมล็ดจะประกอบด้วยแป้งและเส้นใยสูง และจากส่วนประกอบทางเคมีของเมล็ดเดือย จะมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเมล็ดเดือย 1 กรัมจะมีปริมาณแป้ง คาร์โบไฮเดรท ไขมัน โปรตีน เส้นใย สูงกว่าข้าวในปริมาณเท่ากัน (จารุวรรณ, 2550) ดังแสดงในตารางที่ 1 </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เดือยที่ปลูกเพื่อการค้าในประเทศไทย เริ่มจากอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา และขยายไปปลูกที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดเลย ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 เดือยมีราคาสูง จึงมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกที่จังหวัดพะเยา เชียงราย เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ อุดรธานี หนองคาย สกลนคร และขอนแก่น อย่างไรก็ดี เมื่อราคาเดือยตกต่ำ พื้นที่เพาะปลูกจึงลดลง โดยจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดเลย มีพื้นที่ปลูกประมาณ 20,190 ถึง 52,117 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 95 ของพื้นที่ปลูกทั้งประเทศ พื้นที่ปลูกเดือยส่วนใหญ่อยู่บนเนินเขา และที่ลาดเชิงเขา ซึ่งมีความลาดเอียงตั้งแต่ 3 ถึง 45 องศา ผลผลิตที่ได้ประมาณร้อยละ 85 ถึง 90 จะส่งไปขายยังต่างประเทศ ผลผลิตที่เหลือจะบริโภคภายในประเทศ โดยในแต่ละปี เดือยสามารถทำรายได้เข้าจังหวัดเลย ประมาณ 120 ถึง 250 ล้านบาท (สมเกียรติ, 2547) </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ดังนั้น หากเกษตรกรสามารถใช้ปลายเดือย และรำเดือยเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และสัตว์มีสมรรถนะการเจริญเติบโตที่เหมาะสม จะช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนค่าอาหารลงได้ การลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์โดยหลักการ ก็คือ การลดราคาของสูตรอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ให้ต่ำลง ในขณะที่คุณค่าทางโภชนะของสูตรอาหารยังคงเดิม ปัจจุบัน ( 16 มกราคม 2555) รำข้าว ปลายข้าว เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีราคาค่อนข้างสูง (ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในจังหวัดเลย ณ วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555 พบว่าราคารำข้าว ปลายข้าว รำเดือย และปลายเดือย มีราคาดังนี้ คือ 10.00, 15.50, 5.00 และ 8.75 บาทต่อกิโลกรัม ตามลำดับ) ทั้งนี้การนำปลายเดือย และรำเดือยมาใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ทดแทนปลายข้าง และรำข้าวจะช่วยให้ราคาอาหารสัตว์ต่ำลง ในขณะที่คุณภาพหรือปริมาณสารอาหารที่มีในสูตรอาหารยังคงเดิม การใช้ปลายเดือย และรำเดือยเป็นส่วนประกอบของอาหารสุกร ไก่เนื้อ ไก่พื้นเมือง เป็ดเทศ จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกร ในการเลือกใช้วัตถุดิบอีกทางหนึ่ง Suntorn et al., (2011) ได้ทำการศึกษาวิจัยผลของการใช้ปลายเดือยทดแทนปลายข้าวในสูตรอาหารเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรีอายุ 28-56 วัน พบว่าเป็ดเทศเมื่อกินอาหารที่มีปลายเดือยระดับต่าง ๆ มีน้ำหนักเมื่อสิ้นสุดการทดลองใกล้เคียงกัน ไม่มีความแตกต่างกัน และมีอัตราการเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) แต่อย่างใด ดังแสดงในตารางที่ 2 อีกทั้งไม่มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเป็ดเทศ ซึ่งเกษตรการสามารถใช้ปลายเดือยได้ถึงร้อยละ 42 ในสูตรอาหารเป็ดเทศระยะนี้ เพื่อการเพิ่มสมรรถนะการผลิต และลดต้นทุนการเลี้ยงเป็ดเทศ ไก่พื้นเมือง ไก่เนื้อ สุกร เป็นต้น รวมทั้งเป็นการนำวัตถุดิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์หลากหลาย และส่งเสริมการปลูกพืชในท้องถิ่นจังหวัดเลยได้อีกทางหนึ่งด้วย</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ตารางที่ 1 องค์ประกอบทางเคมีของเดือยเปรียบเทียบกับข้าว</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
องค์ประกอบทางเคมี เดือยไทยกล้อง* เดือยไทยขัดขาว* เดือยลาวกล้อง* เดือยลาว</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ขัดขาว* รำเดือยไทย* รำเดือยลาว* ข้าวดอกมะลิ 105 </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
กล้อง* ข้าวดอกมะลิ 105 ข้าวสาร* ปลายข้าว** รำข้าว**</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ความชื้น 10.92 12.81 11.44 11.49 8.31 9.40 12.27 12.50 10.00 10.00</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
แป้งรวม 64.91 70.07 62.88 69.06 39.74 25.76 67.49 70.83 78.00 49.80</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
โปรตีน 13.40 12.86 14.27 13.03 14.81 15.41 10.60 8.74 7.90 13.30</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ไขมัน 5.74 2.25 7.79 5.65 21.2 33.70 6.79 6.25 1.00 13.00</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เถ้า 2.07 0.94 2.16 0.17 6.09 8.74 1.45 0.69 - -</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ไฟเบอร์ 2.96 1.07 1.46 0.60 9.85 6.99 1.40 0.99 3.1 13.9</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อมิโลส 10.24 18.11 6.23 6.56 9.25 2.82 14.77 15.65 - -</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
หมายเหตุ : * จารุวรรณ (2550) </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
** NRC (1998)</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ตารางที่ 2 ตารางแสดงสมรรถนะการเจริญเติบโตของเป็ดเทศกบินทร์บุรีที่ได้รับอาหารที่มีปลายเดือย </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ระดับต่าง ๆ กัน*</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
องค์ประกอบ ปริมาณปลายเดือย, ร้อยละ SEM*</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
0 10.50 21.00 31.50 42.00 </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เป็ด, ตัว 9 9 9 9 9 </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
น้ำหนักเริ่มต้น, กรัม 1033 987 1079 987 1057 -</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
น้ำหนักสิ้นสุด, กรัม 2190 2153 2233 2077 2158 -</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
ปริมาณอาหารที่กิน, กรัม/ตัว/วัน 125.60 126.00 125.93 121.33 124.20 0.53</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
อัตราการเจริญเติบโต, กรัม/ตัว/วัน 41.32 41.64 41.21 38.93 39.32 0.44</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
น้ำหนักตัวที่เพิ่มต่อปริมาณอาหารที่กิน, กรัม/กิโลกรัมอาหาร 329 330 327 321 317 0.004</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
*ดัดแปลงจาก Suntorn et al., 2012.</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
เอกสารอ้างอิง</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
กรมปศุสัตว์. 2545. ค้นเมื่อ 20 กันยายน 2552. เข้าถึงได้จาก http://www.dld.go.th/nutrition/ Nutrition_Knowlage/ARTICLE/Pro35.htm</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
จารุวรรณ บางแวก และคณะ. 2550. การผลิตเดือยคุณภาพเพื่อการส่งออก. ค้นเมื่อ 20 กันยายน 2552. เข้าถึงได้ จาก http://210.246.186.28/pprdo/Jobstear/job's%20tear.htm</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
สมเกียรติ ฐิตะฐาน. 2547. สถานภาพองค์ความรู้ด้านการผลิต การตลาดและการแปรรูป “เดือย” ค้นเมื่อ 23 กันยายน 2552. เข้าถึงได้จาก http://www.trf.or.th/research/ abstract.asp?PROJECTID=PDG4720005</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
NRC. 1998. Nutrition Requirement of Swine (10th Ed.). National Academy Press, Washington D.C.</div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
Steel, R.G. W. and J.H. Torrie. 1980. Principle and Procedures of Statistics: A Biometrical Approach (2nd Ed.). McGraw-Hill, New York. </div>
<div style="text-align: justify;">
<br /></div>
<div style="text-align: justify;">
Suntorn Kakaisorn, Chaiyapruek Hongladdaporn, Sawang Kullawong. 2012. Effect of Using Broken Job’s tears for Energy Source in Kabinburi Muscovy Rations. The 3rd International Conference on Environmental and Rural Development. Khon Kaen, Thailand, 21-22 January 2012.</div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-36903823297566805342012-07-03T22:42:00.000+07:002012-07-03T22:42:11.946+07:00การป้องกันภาวะชะงักหลังหย่านม<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-indent: 35.45pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", "serif"; font-size: 16pt;">ภาวะชะงักหลังการหย่านม </span><span style="font-family: "Angsana New", "serif"; font-size: 16pt;">(Post-weaning stress) <span lang="TH">หมายถึง การสูยเสียน้ำหนักตัวและประสิทธิภาพการเจริยเติบโตของลูกสุกรในช่วงสัปดาห์แรกหลังหย่านม ส่งให้กระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตในช่วงตั้งแต่อนุบาล เล็ก รุ่น ขุน จนถึงส่งตลาด จึงเป็นสิ่งที่บ่งบกถึงความสำเร็จของการจัดการเล้าอนุบาล บางครั้งเรียกว่า </span>Nursery setback <span lang="TH">ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะที่ลูกสุกรชะงักหลังหย่านม ได้แก่ น้ำหนักหย่านม </span>(weaning weight) <span lang="TH">อายุหย่านม </span>(Lactation length) <span lang="TH">สุขภาพลูกสุกร </span>(Health)<span lang="TH"> คุณภาพอาหาร</span> (Feed quality) <span lang="TH">และวิธีการให้อาหาร </span>(Feeding management)</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-58609650023071966652012-07-03T22:41:00.000+07:002012-07-03T22:41:06.145+07:00ความเครียดปัญหาหลังการหย่านมช่วงอายุที่หย่านม เป็นช่วงที่ภูมิต้านทานโรคของสุกรที่ได้รับจากแม่ (Passive immune) ลดต่ำลงพบว่าสภาพภูมิต้านทานของลูกสุกรในฝูง มีความแตกต่างกันมาก การสร้างภูมิต้านทานหรือการทำวัคซีน (Active immune) เริ่มเมื่ออายุมากกว่า 5 สัปดาห์ จึงเป็นช่วงที่ลูกสุกรอ่อนแอ ทำให้เชื่อที่ได้รับมาจากเล้าคลอดเพิ่มจำนวนขึ้น และลูกสุกรติดเชื้อใหม่จากสภาพแวดล้อมใหม่ง่ายยิ่งขึ้น<br />
<br />
<br />
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป (Environment stress) จากการพรากจากแม่ การขนย้าย การย้ายที่อยู่และสภาพคอกที่อยู่ใหม่ สภาพการเลี้ยง ภาวะเครียดจากการรวมฝูง การปะปนกันของลูกสุกรจากหลาย ๆ แม่ทำให้มีการแพร่เชื่อต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น<br />
<br />
สภาพอาหารที่เปลี่ยนแปลง (Nutritional stress) การเปลี่ยนแปลงอาหารที่ให้ จากอาหารร่วมกับน้ำนม มาเป็นอาหารเลียรางอย่างเดียว ลูกสุกรบางตัวยังไม่สามารถกินอาหารและย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จะมีปัญหาขาดสารอาหาร ทำให้อ่อนแอ และติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นSuntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-33609561675054579062012-07-03T22:39:00.001+07:002012-07-03T22:39:55.935+07:00อาหารและการจัดการสุกรระยะอนุบาล<div class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-indent: 35.45pt; text-justify: inter-cluster;">
<span lang="TH" style="font-family: "Angsana New", "serif"; font-size: 16pt;">สุกรระยะอนุบาลเป็นสุกรระยะหลังหย่านม มีอายุประมาณ </span><span style="font-family: "Angsana New", "serif"; font-size: 16pt;">24-28 <span lang="TH">วัน น้ำหนักประมาณ </span>6-8 <span lang="TH">กิโลกรัม เป็นระยะที่ต้องการความเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ ทั้งการจัดการ การควบคุมโรค และอาหาร<span style="mso-spacerun: yes;"> </span>โดยเฉพาะอาหารสุกรอนุบาล ต้องประกอบสูตรอาหารให้ตรงตามความต้องการของสัตว์ <span style="mso-spacerun: yes;"> </span>เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะทำให้ลูกสุกรสามารถดำรงชีวิต และมีอัตราการเจริญเติบโตที่เหมาะสมได้ (สุวิทย์, </span>2536<span lang="TH">)<span style="color: red;"> </span>รวมทั้งต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการนำวัตถุดิบมาใช้ในสูตรอาหารสุกรด้วย เริ่มจากลูกสุกรหย่านมสุขภาพดี โดยมาจากการดูแลในโรงเรือนคลอดที่ดี ซึ่งดูได้จากน้ำหนักหย่านมและจำนวนลูกหย่าต่อคอกร่วมกัน เพราะแม่สุกรที่เลี้ยงลูกจำนวนมาก ลูกสุกรมักมีขนาดเล็กเมื่อหย่านม เนื่องจากถูกจำกัดด้วยประสิทธิภาพในการให้น้ำนมของแม่สุกรเอง</span></span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-53439283039024145932012-04-04T19:07:00.002+07:002012-04-04T19:07:42.024+07:00การป้องกันและการแก้ไขสำไส้ทะลักในไก่ไข่ (PROLAPSE)<div>
<span style="color: #006600; font-family: verdana;"><strong>อะไรที่เรียกว่า PROLAPSE</strong> ถ้ามีส่วนหนึ่งส่วนใดของท่อนำไข่ (Oviduct) ได้หลุดออกมานอกแม่ไก่ เราเรียกว่า “ Prolapse ” โดยปกติแล้วมักจะพบบ่อยในไก่ไข่สีขาวมากกว่าสีน้ำตาล ปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่ที่ “ Prolapse “ อย่างเดียวที่เป็นปัญหา ปัญหาตามมาจะพบบ่อยคือ ไก่จิกกัน (Cannibalism) ผลที่ตามมาคือ อัตราการตายจะสูงขึ้น <strong></strong> เราสามารถแบ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาของ “ Prolapse “ ได้ดังนี้ <blockquote>
</blockquote>
<blockquote>
<strong>1. โครงสร้างและน้ำหนักตัวไก่</strong> การพัฒนาน้ำหนักของไก่ไข่ในช่วงไก่เล็กนั้นสำคัญมาก มี 2 ปัญหาที่ผู้เลี้ยงจะต้องระวังไว้ คือ *** น้ำหนักที่เกินไปนั้นเกิดจากการสะสมของไขมัน *** โครงสร้างของช่วงไก่เล็ก เล็กเกินไป ทั้ง 2 สาเหตุจะมีส่วนทำให้เกิด Prolapse เกิดขึ้น การพัฒนาน้ำหนักตัวและโครงสร้างของไก่เล็กจะสำคัญมาก โดยเฉพาะช่วงอายุวันแรกถึง 5 สัปดาห์ ควรจะมีน้ำหนักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะเห็นว่ากี่ครั้งที่มีการพูดคุยเรื่องไก่ไข่ เราจะเน้นเรื่องน้ำหนักตัวที่ 5 สัปดาห์ ค่อนข้างมาก ในช่วงไก่อายุ 8 ถึง 15 สัปดาห์ เราต้องพยายามให้ไก่กินปริมาณอาหารต่อวัน เพิ่มขึ้น การให้อาหารที่มีปริมาณพลังงานต่ำ และโปรตีนต่ำจะทำให้ไก่กินอาหารต่อวันเพิ่มขึ้น เมื่อไก่อายุตั้งแต่ 15 สัปดาห์ขึ้นไป เราควรทำให้ไก่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเพิ่มปริมาณอาหารที่ไก่กินต่อวัน ระบบสืบพันธุ์ของไก่สาวจะพัฒนาเร็วมากนับจากนี้เป็นต้นไป ถ้าไก่สาวกินอาหารเพิ่มขึ้นไม่มากพอ เราควรจะกระตุ้นให้ไก่สาวกินปริมาณเพิ่มขึ้นให้ได้ ในบางครั้ง ถ้าน้ำหนักตัวไก่สาวต่ำกว่าน้ำหนักเป้าหมายมาก บางครั้งเราให้ไก่สาวกินอาหารไก่เล็ก (Starter) ระหว่าง 16 – 18 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักตัวไก่สาวก่อนขึ้นไข่ หลังจากเราย้ายไก่จากไก่สาวขึ้นกรงไก่ไข่ แล้วปริมาณอาหารที่ไก่กินต่อวันไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอ เราควรจะกระตุ้นให้ไก่ได้กินอาหารมากขึ้น ทั้งนี้ในบางครั้ง เมื่อน้ำหนักตัวยังต่ำกว่าน้ำหนักเป้าหมาย เราก็สามารถให้อาหารไก่เล็ก (Starter) ได้ระหว่างอายุ 16 – 18 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อช่วยกระตุ้นน้ำหนักก่อนไข่ ในกรณีที่ไก่สาวที่ย้ายขึ้นกรงไข่แล้ว ยังไม่สามารถกินปริมาณอาหารตามที่ควรจะเป็นเราควรจะให้ไก่สาวกินอาหารที่มีสูตรพลังงานลดลงประมาณ 100 Kcal และให้โปรตีนในอาหารสูงขึ้นประมาณ 1% จนกว่า ไก่สาวจะสามารถกินปริมาณอาหารได้ตามที่เราต้องการ จึงหันกลับไปใช้สูตรอาหารปกติ ลูกไก่ไข่ที่มีการพัฒนาทั้งน้ำหนักตัวและโครงสร้างจะเป็นตัวป้องกัน Prolapse ได้เป็นอย่างดี ควรคำนึงถึงด้วยว่า น้ำหนักตัวอาจมาจากไขมันในร่างกาย โดยที่ไก่ไข่มีโครงสร้างที่เล็กกว่าปกติ การสร้างโครงสร้างที่ดีควรจะเริ่มตั้งแต่ไก่เล็ก </blockquote>
<strong><blockquote>
<strong></strong></blockquote>
2. การตัดปากไก่ (DEBEAKING) </strong>การตัดปากที่ยาวเกินหรือไม่ตัดเลย ก็จะทำให้ไก่จิกกัน ดังนั้นควรจะสำรวจด้วยว่ามาจากการตัดปากไก่หรือไม่ <blockquote>
</blockquote>
<strong>3. แสง (LIGHTING) และความเข้มของแสง (LIGHTING INTENSITY) </strong>ความเข้มของแสงที่สูงเกินไปหรือในโรงเรือนเปิดจะทำให้ไก่จิกกันได้ เราสามารถใช้หลอดไฟสีแดด เพื่อป้องกันการจิกกัน - ชั่วโมงแสง การที่เรากระตุ้นชั่วโมงแสงในไก่สาวเร็วเกินไปจะทำให้เกิด Prolapse เกิดขึ้น เราต้องแน่ใจว่าน้ำหนักตัวและโครงสร้างของไก่สาวเป็นไปตามที่เราต้องการก่อนที่เราจะกระตุ้น หรือเพิ่มจำนวนชั่วโมงแสง ดังนั้นถ้าน้ำหนักตัวยังไม่ถึงมาตรฐาน เราจะยังไม่กระตุ้นแสง ทั้งนี้ในไก่ไข่เป็นการยากที่จะชะลอการไข่ออกไป ดังนั้นเราควรจะเน้นการเลี้ยงในช่วงแรกเกี่ยวกับ น้ำหนักตัวและโครงสร้าง <strong><blockquote>
<strong></strong></blockquote>
4. ขนาดไข่ (EGG SIZE)</strong> ขนาดไข่ที่ใหญ่เกินไปจะเป็นสาเหตุให้เกิด Prolapse ได้ หลังจากไก่สาวเริ่มไข่ขนาดไข่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าโครงสร้างไก่ไข่มีขนาดเล็กไปก็จะทำให้เกิด Prolapse ได้ง่ายขึ้น <strong><blockquote>
<strong></strong></blockquote>
5. โรคติดเชื้อในลำไส้ (ENTERITIES) </strong>โดยทั่วไปโรคท้องเสียทุกชนิดสามารถทำให้เกิด Prolapse ได้ <strong><blockquote>
<strong></strong></blockquote>
6. ให้เกลือเพิ่มขึ้น (0.45%) อาจลดการจิกกันได้ </strong>เกลือที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ไก่กินน้ำมากขึ้นและอาจทำให้เกิดการถ่ายเหลวได้ จำนวนคลอรีน ควรอยู่ในระดับ 1200 ppm เป็นอย่างน้อย <strong><blockquote>
<strong></strong></blockquote>
7. การถ่ายอาหารที่ดีจะช่วยลดการจิกกันได้ <blockquote>
</blockquote>
8. ไม่ใส่ไก่แน่นเกินไปจนเกิดความเครียดขึ้น <blockquote>
</blockquote>
9. อุณหภูมิและความเข้มของแสงที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นไป ก็เป็นสาเหตุของการจิกได้ <blockquote>
</blockquote>
10. พวก หนู แมลง รวมถึงตัวไร ก็สามารถเป็นสาเหตุของการจิกกันได้ </strong></span><br />
<blockquote>
<strong></strong></blockquote>
เราจะป้องกัน “PROLAPSE” ได้อย่างไร</div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-61007271448090611652012-04-04T19:07:00.001+07:002012-07-03T22:37:16.021+07:00<div>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5Qsu2PYLhbC_TBMskHY6aEyTx27shotTb9IihFCAnySxMoGa4NV_pV-a-4hORkRC30QvjppNiuURqGof1RjLLEcXORyR_kBwQQzH9NicBgJFrAHerEAAzX2mhtoCuiVeRHybUbF0SENiw/s1600-h/Pig+(6).JPG"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5359237061324027730" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5Qsu2PYLhbC_TBMskHY6aEyTx27shotTb9IihFCAnySxMoGa4NV_pV-a-4hORkRC30QvjppNiuURqGof1RjLLEcXORyR_kBwQQzH9NicBgJFrAHerEAAzX2mhtoCuiVeRHybUbF0SENiw/s320/Pig+(6).JPG" style="cursor: hand; float: right; height: 240px; margin: 0px 0px 10px 10px; width: 320px;" /></a> <br />
<div>
3. การคำนวณหาจำนวนสุกรขุนที่ต้องการ </div>
<div>
คำนวณได้จาก จำนวนสุกรอย่านม 21941 ตัว/ปี กำหนดให้มีการสูญเสียขณะขุน = 2.00 % ดังนั้นมีการสูญเสียสุกรจำนวน = 439 ตัว/ปี ดังนั้นจะเหลือสุกรขุนมีชีวิต = 21,502 ตัว/ปี or 1,792 ตัว/เดือน or 413 ตัว/สัปดาห์ หรือคำนวณได้จากแม่เข้าคลอด/สัปดาห์ 421.94 ตัว/สัปดาห์ (เนื่องจากใน 1 ปีมี 52 สัปดาห์ ดังนั้น จะต้องมีแม่เข้าคลอดตลอดประมาณ 421.94 แม่/สัปดาห์) ดังนั้นจำนวนแม่สุกรในฟารฟาร์ม 1000 แม่ สามารถผลิตสุกรขุนจำหน่ายได้ 413 ตัว/สัปดาห์</div>
<div>
มีข้อมูลสงสัย หรือ ให้เพิ่มเติม สอบถามมาได้ครับผม และเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ครับ</div>
</div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-75075479943581945062012-03-23T13:01:00.000+07:002012-03-23T13:01:41.928+07:00Effect of Using Broken Job’s tears for Energy Source in Kabinburi Muscovy Rationsผลการใช้ปลายเดือยเป็นแหล่งพลังงานทดแทนปลายข้าวในสูตรอาหารเป็ดเทศกบินทร์บุรี<br />
<br />
Effect of Using Broken Job’s tears for Energy Source in Kabinburi Muscovy Rations<br />
<br />
สุนทร เกไกรสร1* ชัยพฤกษ์ หงษ์ลัดดาพร1, สว่าง กุลวงษ์1<br />
Suntorn Kakaisorn1 *, Chaiyapruek Hongladdaporn1, Sawang Kullawong1<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">บทคัดย่อ: การศึกษาผลของการใช้ปลายเดือยเป็นแหล่งพลังงานทดแทนปลายข้าวต่อสมรรถนะการเจริญเติบโตของเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี ใช้อาหารที่มีระดับปลายเดือย 5 ระดับ คือ ปลายเดือยร้อยละ 0, 8.25, 16.50, 24.75 และร้อยละ 33.00 ใช้เป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี อายุ 3 วัน จำนวน 40 ตัว น้ำหนักเฉลี่ย 63.68 กรัม แบ่งเป็ดออกเป็น 5 กลุ่ม ๆ ละ 4 ซ้ำ ๆ 2 ตัว ผลการทดลองพบว่าเป็ดเทศที่ได้รับอาหารทั้ง 5 สูตร ที่มีระดับปลายเดือยแตกต่างกัน มีอัตราการเจริญเติบโต น้ำหนักตัวที่เพิ่มต่อปริมาณอาหารที่กิน ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (P>0.05) แต่พบว่าเป็ดเทศกลุ่มที่ได้รับปลายข้าว (สูตรที่ 1) เป็นแหล่งพลังงานมีประสิทธิภาพการใช้โปรตีนดีกว่า กลุ่มที่กินอาหารที่มีปลายเดือยร้อยละ 24.75 และร้อยละ 33.00 (สูตรที่ 4 และ 5) ดังนั้นเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรีในช่วงอายุ 1-28 วัน สามารถใช้ปลายเดือยเป็นแหล่งพลังงานในสูตรอาหารได้ที่ระดับร้อยละ 33 ซึ่งมีผลทำให้สมรรถนะการเจริญเติบโตของเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรีใกล้เคียงกันกับการใช้ปลายข้าว</div><br />
คำสำคัญ : ปลายเดือย, เป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี, สมรรถนะการเจริญเติบโต <br />
<br />
<div style="text-align: justify;">ABSTRACT: This experiment was conducted to determine levels of broken Job’s tears on growth performance in Kabinburi Muscovy. The experiment treatment feeds containing 5 levels of broken Job’s tears (0, 8.25, 16.50, 24.75 and 33.00 % on rations). Forty Kabinburi Muscovys one-day-old ( 63.68 g average body weight) were used in four replications (2 ducks per replication). The duck give five rations have show body weight gain not significant (P>0.05). Daily weight gain and gain per feed of Kabinburi muscovy did not show differ among dietary treatments (P>0.05). However Kabinburi Muscovy feed broken rice has showed higher protein efficiency ratio than Kabinburi Muscovy feed broken Job’s tears levels 24.75 and 33.00 %. Nutritionist can use level of broken Job’s tears at 33.00 % in feed for 1-28 day-old Kabinburi Muscovy is recommended.</div><br />
Key Words: broken Job’s tears, kabinburi muscovy, growth performance<br />
<br />
1 สาขาสัตวศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์แลเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย เลย 42000<br />
Department of Animal Science, Faculty of Science and Technology, Rajabhat Loei University, Loei 42000<br />
* Corresponding author: <u>suntornka@hotmail.com</u><br />
<br />
บทนำ<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">เป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี มีขนสีขาวตลอดลำตัว มีขนสีดำเป็นจุดเด่นอยู่กลางหัว ปากสีชมพู เท้าสีเหลืองอ่อน ลำตัวยาว หน้าอกกว้าง เนื้อมาก น้ำหนักแรกเกิด 42-54 กรัม เพศผู้โตเต็มที่หนัก 5-6 กิโลกรัม เพศเมียหนัก 2.6-2.8 กิโลกรัม เริ่มไข่อายุ 6-7 เดือน ไข่ได้ปีละ 150-180 ฟอง เป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี ได้รับการวิจัยและพัฒนาให้เป็นพันธุ์แท้ที่สามารถเลี้ยงเพื่อผลิตเนื้อป้อนตลาดได้ในระยะเวลา 10-12 สัปดาห์ (น้ำหนักประมาณ 2.8 กิโลกรัม) มีการเจริญเติบโตประมาณ 34 กรัม/ตัว/วัน น้ำหนักตัวที่เพิ่มต่อปริมาณอาหารที่กิน 420 กรัม/กิโลกรัมอาหาร (กรมปศุสัตว์, 2545) แข็งแรง ทนต่อสภาพการเลี้ยงดูในชนบท เหมาะสำหรับเกษตรกรเลี้ยงไว้เพื่อบริโภคและเสริมรายได้ เดือย (Job’s tears) เป็นธัญพืชตระกูล Gramineae เช่นเดียวกับข้าวโพด และข้าวฟ่าง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Coix lacryma-jobi L. เดือยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงนำมาใช้ประโยชน์เป็นอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ และเดือยมีสรรพคุณทางยา ประกอบด้วยแป้งและเส้นใยสูง และส่วนประกอบทางเคมีของเมล็ดเดือย 1 กรัมจะมีปริมาณแป้ง คาร์โบไฮเดรท ไขมัน โปรตีน เส้นใย สูงกว่าปลายข้าวในปริมาณเท่ากัน (จารุวรรณ, 2550) เดือยนิยมเพาะปลูกบนที่ลาดเชิงเขา จังหวัดเลยมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 52,117 ไร่ เก็บผลผลิตได้ 300-350 กิโลกรัมต่อไร่ ประมาณร้อยละ 90 ส่งขายยังต่างประเทศ (สมเกียรติ, 2547) ลูกเดือยที่ผลิตได้ต้องนำมาผ่านกระบวนการสีจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งมีผลพลอยได้ คือ ปลายเดือย รำเดือย และเปลือกเดือย ซึ่งในส่วนของปลายเดือย และรำเดือยมีปริมาณมาก และราคาประมาณ 3-8 บาทต่อกิโลกรัม ดังนั้นหากเกษตรกรสามารถใช้ปลายเดือยเป็นวัตถุดิบอาหารเป็ดเทศ และเป็ดเทศมีสมรรถนะการเจริญเติบโตที่เหมาะสม จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรในการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง รวมทั้งเป็นการนำวัตถุดิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์หลากหลาย และส่งเสริมการปลูกพืชในท้องถิ่นจังหวัดเลยได้อีกทางหนึ่งด้วย การวิจัยในครั้งนี้เพื่อศึกษาผลของการใช้ปลายเดือยเป็นแหล่งพลังงานทดแทนปลายข้าว โดยคำนวณสูตรอาหารให้มีปริมาณปลายเดือยแตกต่างกันทดแทนปลายข้าวต่อสมรรถนะการเจริญเติบโตของเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี</div><br />
อุปกรณ์และวิธีการ<br />
<br />
ใช้เป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรี คละเพศ อายุ 3 วัน จำนวน 40 ตัว น้ำหนักเฉลี่ย 63.68 กรัม เลี้ยงภายในโรงเรือนทดลองมีการให้แสงตลอดเวลา แบ่งเป็ดออกเป็น 5 กลุ่ม ๆ ละ 4 ซ้ำ ๆ ละ 2 ตัว ใช้แผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยวิธี Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) ทำการทดลองเป็นเวลา 28 วัน ที่ฟาร์มทดลองสัตวศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย บันทึกน้ำหนักตัวเริ่มต้น และน้ำหนักตัวสุดท้ายของเป็ดเทศในแต่ละสัปดาห์ บันทึกปริมาณอาหารที่กิน ประกอบสูตรอาหารโดยเพิ่มระดับปลายเดือยทดแทนปลายข้าว คำนวณให้ได้ระดับที่แตกต่างกัน 5 ระดับ คือ ร้อยละ 0, 8.25, 16.5, 24.75 และร้อยละ 33.00 รายละเอียดส่วนผสมของวัตถุดิบอาหารสัตว์ในสูตรได้แสดงไว้ใน Table 1. ปริมาณค่าโภชนะอื่น ๆ ได้คำนวณให้มีครบตามคำแนะนำของ กรมปศุสัตว์ (2545) ให้อาหารในแต่ละวันในปริมาณเต็มที่ ให้อาหารเวลา 06.30 นาฬิกา และให้น้ำดื่มอย่างเต็มที่ <br />
<br />
ผลการทดลอง<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">ผลการศึกษาพบว่าเป็ดเทศที่ได้รับอาหารที่มีปลายเดือยทั้ง 5 ระดับ คือ ปลายเดือยร้อยละ 0, 8.25, 16.50, 24.75 และร้อยละ 33.00 มีน้ำหนักตัวสุดท้ายใกล้เคียงกัน คือ 1153.8, 1115, 1113.8, 1082.5 และ 1062.5 กรัมต่อตัว ตามลำดับ) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) สำหรับอัตราการเจริญเติบโตของเป็ดเทศที่ได้รับอาหารที่มีปลายเดือยร้อยละ 8.25, 16.50 24.75 และร้อยละ 33.00 มีอัตราการเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน (37.52, 37.43, 36.43 และ 35.74 กรัมต่อตัวต่อวัน ตามลำดับ) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับอาหารที่ใช้ปลายข้าว (38.93 กรัมต่อตัวต่อวัน) (P>0.05) เช่นเดียวกันกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มต่อปริมาณอาหารที่กิน กลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีปลายเดือยทั้ง 4 ระดับ มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มต่อปริมาณอาหารที่กินใกล้เคียงกัน (233.78, 235.01, 228.03 และ 224.4 กรัมต่อกิโลกรัมอาหาร ตามลำดับ) และใกล้เคียงกันกับกลุ่มที่ได้รับอาหารที่ไม่ใช้ปลายเดือย (242.54 กรัมต่อกิโลกรัมอาหาร) (P>0.05) ดังแสดงใน Table 2. ประสิทธิภาพการใช้โปรตีน พบว่าเป็ดเทศที่ได้รับอาหารที่มีปลายเดือยทั้ง 4 ระดับ มีประสิทธิภาพการใช้โปรตีนใกล้เคียงกัน โดยมีค่าเป็น 1.03, 1.01, 0.96 และ 0.92 ตามลำดับ แต่ทั้งนี้พบว่ากลุ่มที่ใช้ปลายข้าว (1.10) มีประสิทธิภาพการใช้โปรตีนดีกว่ากลุ่มที่ใช้ปลายเดือยร้อยละ 24.75 และร้อยละ 33.00 (0.96 และ 0.92 ตามลำดับ) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P < 0.05) ดังแสดงใน Table 2. </div><br />
สรุปและวิจารณ์<br />
<br />
<div style="text-align: justify;">จากผลการใช้ปลายเดือยในสูตรอาหารเป็ดเทศกบินทร์บุรี พบว่าเมื่อเป็ดเทศได้รับสูตรอาหารที่ใช้ปลายเดือยเป็นวัตถุดิบมีผลทำให้มีอัตราการเจริญเติบโต สอดคล้องกับอัตราการเจริญเติบโตที่ทดสอบโดยกรมปศุสัตว์ (2545) แต่ทั้งนี้น้ำหนักตัวที่เพิ่มต่อปริมาณอาหารที่กินแย่กว่าที่ทดสอบพันธุ์โดยกรมปศุสัตว์ (2545) ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากธรรมชาติของเป็ดที่กินอาหารไปด้วยดื่มไปด้วยน้ำ และมีการหกหล่นเสียหายของอาหารเกิดขึ้นในภาชนะให้น้ำและตามพื้นคอก จากการศึกษาครั้งนี้ พบว่าเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรีสามารถนำโภชนะในปลายเดือยไปใช้ประโยชน์ได้ และพบว่าเมื่อระดับของปลายเดือยเพิ่มขึ้นทำให้ระดับของโปรตีนในสูตรอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ระดับโปรตีนที่เพิ่มขึ้นไม่ทำให้เป็ดเทศมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นแต่ประการใด จึงทำให้ค่าประสิทธิภาพการใช้โปรตีนต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดในเป็ดกลุ่มที่ได้รับปลายเดือยที่ร้อยละ 24.75 และ 33.00 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ใช้ปลายข้าว จากการวิจัยครั้งนี้จึงสรุปได้ว่าสามารถใช้ปลายเดือยเป็นวัตถุดิบในสูตรอาหารเป็ดเทศพันธุ์กบินทร์บุรีที่อายุ 1-28 วัน ได้ถึงร้อยละ 33.00 ในสูตรอาหาร ซึ่งระดับดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อสมรรถนะการเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผลของการใช้ปลายเดือยทดแทนปลายข้าวในอาหารเป็ดเทศพันธ์กบินทร์บุรีในช่วงอายุ 28-56 วัน จะทำการศึกษาในลำดับต่อไป</div><br />
คำขอบคุณ<br />
<br />
ขอขอบคุณสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ที่สนับสนุนงบประมาณในการทำวิจัยและสนับสนุนทุนเพื่อการนำเสนอผลงานวิจัยในครั้งนี้ <br />
<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
<br />
กรมปศุสัตว์. 2545. เข้าถึงได้จาก http://www.dld.go.th/service/duck%205%20type/kabin.html. <br />
<br />
ค้นเมื่อ 15 กันยายน 2554.<br />
<br />
จารุวรรณ บางแวก และคณะ. 2550. การผลิตเดือยคุณภาพเพื่อการส่งออก. เข้าถึงได้จาก <br />
<a href="http://210.246.186.28/pprdo/Jobstear/Job’s%20tear.html">http://210.246.186.28/pprdo/Jobstear/Job’s%20tear.html</a>. ค้นเมื่อ 20 กันยายน 2554. <br />
สมเกียรติ ฐิตะฐาน. 2547. สถานภาพองค์ความรู้ด้านการผลิต การตลาดและการแปรรูป “เดือย” เข้าถึงได้จาก http://www.trf.or.th/research/abstract.asp?PROJECTID=PDG4720005. ค้นเมื่อ 23 กันยายน 2554.<br />
Steel, R.G. W. and J.H. Torrie. 1980. Principle and Procedures of Statistics: A Biometrical Approach (2nd Ed.). McGraw-Hill, New York.Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-59040676820293148822010-10-08T21:22:00.002+07:002010-10-08T21:35:22.123+07:00ธัญพืชผ่านกระบวนการทำให้สุกเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตสุกรอนุบาล<span style="font-size:130%;color:#000099;">รายงานจากบริษัท เมเนบา ประเทศเนเธอร์แลนด์ จากการวิจัยพบว่ากลุ่มธัญพื่ชที่ผ่านกระบวนการให้ความร้อน จนเกิดเป็น เจลาติน (Gelatinisation) เมื่อนำไปประกอบในสูตรอาหารสุกรอนุบาลพบว่าลูกสุกรมีการย่อยได้ของโภชนะดีขึ้น ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน รวมถึงค่ากรดอะมิโนด้วย ทั้งนี้ส่งผลที่ตามมาคือ อาหารสูกรสุกรไม่หนืด มีการนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็วขึ้น ทำลูกสุกรมีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่ากลุ่มที่ให้กินอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการทำให้สุก</span>
<span style="font-size:130%;color:#000099;">ที่มา : Pig Progress ฉบับวันที่ 6 ตุลาคม 2553</span>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-25664319411590999662010-01-25T13:42:00.001+07:002010-01-25T13:54:49.010+07:00คาดการว่าปริมาณผลผลิตของข้าวสาลีเพิ่มขึ้นในยุโรป ปี 2010-2011<blockquote><span style="color:#3333ff;"></span></blockquote><div align="justify"><span style="color:#3333ff;">คาดการ ยุโรปทำการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเพิ่มขึ้นในปี 2010
จาการคาดการของนักวิเคราะห์ฝรั่งเศส โดยได้ให้ข้อมูลผลการวิเคราะห์ผลิตของข้าวสาลี และข้าวโพด ใน 27 ประเทศสมาชิก ของยุโรป คาดการว่าผลผลิตจะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทั้ง ข้าวสาลี และข้าวโพด แต่จากการประมาณการข้าวบาร์เลย์พบว่ามีแนวโน้มของผลผลิตที่จะลดลง ในปี 2010
</span></div><blockquote><span style="color:#3333ff;"></span></blockquote><div align="justify"><span style="color:#3333ff;">จากการคาดการว่าตลาดสำหรับปี 2010-2011 คาดว่าสหภาพยุโรปจะมีผลผลิตของข้าวสาลีประมาณ 133.7 ล้าน ตัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 380,000 ตัน เมื่อเปรียบเทียบปัจจุบัน โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์จากปัจจุบัน เนื่องจาก ประเทศโรมาเนีย และเยอรมนี มีพื้นที่การเพราะปลูกเพิ่มขึ้นจากเดิม
</span></div><blockquote><span style="color:#3333ff;"></span></blockquote><div align="justify"><span style="color:#3333ff;">ความต้องการลดลง จากการคาดการคามต้องการอุปสงค์ในประเทศของข้าวสาลี ในปี 2010-2011 โดย เฉพาะ ใน อาหารสัตว์พบว่ามีค่าความต้องการที่ลอลง เนื่องจากการแข่งขันของข้าวสาลีลดลงเมื่อเทียบกับบาร์เลย์ ทำให้มีปริมาณเพิ่มการส่งออกไปประเทศที่สาม เพิ่มสูงขึ้น สำหรับตอบสนองความต้องการของประเทศที่สาม
</span></div><blockquote><span style="color:#3333ff;"></span></blockquote><div align="justify"><span style="color:#3333ff;">ราคาข้าวบาเลย์ยังอยู่ภายใต้ความกดดัน
สำหรับบาร์เลย์ นักวิเคราะห์ได้ประมาณการว่ามีปริมาณลดลงถึง 530,000 ตัน เนื้องจาพื้นที่ของประเทศเยอรมันนี เปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกไปเป็นข้าวสาลี ซึ่งจากกำลังการผลิตเดิมอยู่ที่ 58.2 ล้านตันลดลง 6% เมื่อ เทียบกับปัจจุบัน.
</span></div><blockquote><span style="color:#3333ff;"></span></blockquote><div align="justify"><span style="color:#3333ff;">แต่ปริมาณการของข้าวสาลีก็ขึ้นกับสภาพอากาศด้วย ส่วนปริมาณการผลิตข้าวโพดในยุโรปที่เก็บเกี่ยวนั้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 130,000 ตัน จาก 57.8 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 2 % เมื่อเทียบกับปี 2009-2010 ส่วนผลผลิตธัญพืชโดยรวมคาดว่าจะประมาณ 292.1 ล้านตัน แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 291.2 ล้านตัน</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-39912567525923344852010-01-14T11:58:00.000+07:002010-01-14T11:59:15.531+07:00เยื่อใย (Fiber) คืออะไร<div align="justify"><span style="font-size:130%;">เยื่อใย หมายถึง คาร์โบไฮเดรตมีโครงสร้าง และ ไม่มีโครงสร้างคาร์โบไฮเดรต โดยคาร์โบไฮเดรตโครงสร้าง ได้แก่ เซลลูโลส และเฮมิเซลลูโลส พวกนี้เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์พืช เอนไซม์จากตัวสัตว์ไม่สามารถย่อยได้ จึงเพิ่มกากใยอาหารส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย สำหรับคาร์โบไฮเดรตที่ไม่มีโครงสร้าง ได้แก่ แป้งและน้ำตาล เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยได้ง่าย เอนไซม์จากสัตว์ทุกชนิดสามารถย่อยได้ จึงใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับสัตว์</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-52249738168406999002009-10-29T16:42:00.000+07:002009-10-29T16:43:12.207+07:00โรคบิด (Coccidia)<blockquote><span style="color:#993300;"></span></blockquote><div align="justify"><span style="color:#993300;"> เป็นปรสิตที่พบในทางเดินอาหาร สามารถทำให้เกิดความเสียหายให้กับทางเดินอาหาร และรบกวนทางเดินอาหาร ทำให้สัตว์ตายได้ในที่สุด และที่มากกว่านั้นคือ ประสิทธิภาพการใช้อาหารลดลง และเป็นเรื่องยากที่จะควบคุม ทำให้ไก่มีขนาดแตกต่างกันมาก ทำให้ไก่มีน้ำหนักที่ไม่สม่ำเสมอในฝูง และมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่สามารถให้ผลผลิตไข่ได้ เต็มประสิทธิภาพ ปัจจุบันมีการเสริมยากันบิดลงในสูตรอาหารเพื่อป้องกันโรคบิด ซึ่งการเสริมในสูตรอาหารจึงทำให้แน่ใจว่าจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันในตัวไก่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันโรคบิดได้อีกทาง โดยการให้วัคซีนเชื้อเป็น ซึ่งวัคซีนเชื้อเป็นเราสามารถจัดการได้โดยการพ่นในโรงพักอาหาร หรือน้ำดื่ม ก่อนกกไข่หรือไก่เข้าโรงเรือน และมีการจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมจะช่วยลดการแพร่เชื้อได้</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-84945219342868341742009-10-29T16:41:00.000+07:002009-10-29T16:42:39.152+07:00พยาธิภายนอก (External Parasite)<blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;"></span> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;"> เห็บแดง ไรแดง หรือเห็บทางเหนือ เห็บเป็นสาเหตุของการเพิ่มปัญหาในกรงไก่ โดยเฉพาะมีปัญหามากในฤดูร้อน เมื่อมีอุณหภูมิร้อนขึ้นจะทำให้เห็บมีการขยายพันธุ์เร็วมาก มันจะทำให้เกิดการระคายเคือง รบกวนไก่ ทำให้ไก่มีสมรรถนะการผลิตไม่เต็มประสิทธิภาพ ต่ำกว่ามาตรฐาน มีปริมาณอาหารที่กินได้ลดต่ำลง ซึ่งเห็บสามารถทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในสัตว์ปีกดังต่อไปนี้
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- เห็บจะเกาะตามตัวแม่ไก่ทำให้แม่ไก่รำคาญ และกระวนกระวาย
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- เห็บไปมีผลต่ออัตราการเกิด และทำให้เยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ ซึ่งอาจจะทำให้มีการจิกกันบริเวณก้นกันมากขึ้น
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- ปริมาณอาหารที่กินลดลง
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- เห็บจำนวนมากจะไปรบกวน และลดผลผลิตไข่ลงได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- เห็บจำนวนมากจะไปมีผลทำให้เกิดโรคในระบบเลือด มีการเสียเลือด มองเห็นหงอนสีซีดชัดเจน และถ้ามีผลกระทบมาก ๆ อาจจะมีอัตราการตายเพิ่มสูงขึ้น
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- ทำให้ไข่มีสีซีด และถ้ามีการรบกวนมาก ๆ ของเห็บ อาจจะพบได้ในมูล ไข่ และสายพานลำเลียงไข่ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดตำหนิขึ้นบริเวณเปลือกไข่ ได้ ทำให้เกรดไข่เสียคุณภาพไป
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- การเพิ่มจำนวนของเห็บในปริมาณมาก ๆ อาจจะไปเกาะบริเวณรังไข่ ซึ่งจะไปรบกวนไก่ได้
</div></span><blockquote><p align="justify"> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;">- ที่มีเห็บรบกวนมาก ๆ พนักงานที่เก็บผลผลิตไข่อาจจะเกิดความรำคาญขึ้นได้</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-90118462152669096722009-10-29T16:34:00.000+07:002009-10-29T16:38:21.922+07:00พยาธิภายใน (Internal Parasite)<blockquote></blockquote> การเกิดโรคพยาธิภายในจะทำให้เกิดความเสียหายกับทางเดินอาหารของสัตว์ปีก ซึ่งอาจจะมีผลทำให้เกิด ปัญหาตามมาดังนี้
<blockquote></blockquote>- ไข่สูญเสียความแข็งแรงของเปลือก สีของไข่แดง และขนาดของไข่
<blockquote></blockquote>- มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่ามาตรฐาน, มีน้ำหนักของฝูงไก่ไม่สม่ำเสมอ และทำให้ไก่แคระแกรน ทำให้ไก่มีอาการซึม และหงอนมีสีซีด
<blockquote></blockquote>- ทำให้ไก่แสดงอาการก้าวร้าว มีการจีกกันเอง เนื่องจากมีอาการเครียด
<blockquote></blockquote>- ตาย เมื่อมีน้ำหนักมาก ๆ
ทั้งนี้ทางบริษัทไฮ-ไลน์ได้ทำการศึกษาพบว่า มีพยาธิ 3 ชนิด ที่พบและเป็นปัญหาในไก่ไข่
<blockquote></blockquote> 1. พยาธิตัวกลม (Ascaridia gali)
พยาธิตัวกลมเป้นพยาธิขนาดใหญ่และพบมากโดยทั่วไป มีลักษณะสีขาว ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร และสามารถมองเห็นด้วยตาป่าว และสามารถตรวจได้ง่าย
<blockquote></blockquote> 2. พยาธิเส้นด้าย (Capillaria)
เป็นพยาธิที่มีขนาดเล็ก (มีขนาดประมาณเท่าเส้นผม) สามารถมองเห็นด้วยตาป่าวเล็กน้อย และสามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างเห็นได้ชัดในระดับปานกลาง
<blockquote></blockquote><div align="justify"> 3. พยาธิตัวตืด (Cecal worm, Herteralris gallinarum)
เป็นพยาธิที่พบบริเวณลำไส้ใหญ่ ไม่ทำให้เกิดความเสียหายมากนัก แต่พวกมันเป็นตัวสนับสนุน ให้พยาธิชนิดอื่น ๆส่งผลกระทบมากขึ้น รุนแรงมากขึ้น และส่งผลให้สมองของไก่ทำการผิดปกติไป ดังนั้นการควบคุม 1 ปรสิต สามารถทำให้เราควบคุมพยาธิชนิดอื่น ๆ ได้ด้วย
ไก่สามารถติดพยาธิได้จากการจิกทั่วไป สามารถติดได้จากดิน มูล และไข่ พยาธิที่ติดจากฟองไข่ เนื่องจากมีความชื้นเหมาะสมจึงทำให้มีการพัฒนาภายนอกตัวไก่ได้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น ได้ในฤดูใบไม้พลิ และฤดูร้อน โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิ พยาธิเป็นปัญหาที่สามารถแยกตัวอย่างได้จากอุจจาระ และควรมีการจัดการแยกไก่ ไข่ ออกจากมูลไม่ให้สัมผัสกัน </div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-34106999125535823782009-10-29T16:20:00.002+07:002009-10-29T16:29:56.340+07:00การตรวจสอบโรคอย่างเที่ยงตรง (Vertically transpitted Disease)<blockquote></blockquote>
<div align="justify">โรคบางโรคสามารถรู้การส่งสัญญาณจากการติดเชื้อจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานได้ และการคัดเลือกสายพันธุ์ที่ถ่ายทอดผลผลิต และการดำรงชีพควบคุมไม่ให้ถ่ายทอดไปสู่ลูก ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการควบคุมโรคในทางการค้า เจ้าหน้าที่ปรับปรุงพันธุ์ของทาง ไฮ-ไลน์ ควบคุมไม่ให้มีเชื้อ ไมโครพลาสม่า Salmonella และ lymphoid leucosis
</div>
<blockquote></blockquote>
<div align="justify">โปรแกรมวัคซีน (Vaccination) การกำจัดเชื้อโรคให้หมดไปจากฝูงสัตว์คงเป็นเรื่องยาก จึงจำเป็นต้องมีการทำวัคซีนให้กับสัตว์ โดยทั่วไปแล้วไก่ไข่ควรมีการให้วัคซีน Newcastle หลอดลมอักเสบ (Infectious Bursal Disease : IBD) และไข้สมองและสันหลังอักเสบ (Avian Encephalomyelitis : AE) การให้วัคซีนต้องตรงตามตารางเวลา ในปริมาณโด๊สที่เหมาะสม และตรงตามชนิดของวัคซีนนั้น ๆ เนื่องจากโรคมีสาเหตุมาจากหลากหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส รา เพราะฉะนั้น ควรมีการป้องกันด้วยวัคซีน สำหรับไก่พ่อแม่พันธุ์ ควรได้รับวัคซีน IBD จากการวิจัยของไฮ-ไลน์ ได้แสดงเวลาที่เหมาะสมในการให้วัคซีนในไก่ไข่ ไว้ดังตารางต่อไปนี้</div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhL1lHPEH0qe8Meznvp3mZor5DqjKt39E8a45CrYioeJbhd8TORot7JKA4mZmEXio7nem5sKD00PFWOcRnd8ymzc1As3PzgaGPm0P5VPH8UYVVnzCSu08ITRCK-3VzeQEMtJ9cCpy1Za3C/s1600-h/layer.jpg"><img style="MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 514px; FLOAT: right; HEIGHT: 327px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5397951729364044194" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhL1lHPEH0qe8Meznvp3mZor5DqjKt39E8a45CrYioeJbhd8TORot7JKA4mZmEXio7nem5sKD00PFWOcRnd8ymzc1As3PzgaGPm0P5VPH8UYVVnzCSu08ITRCK-3VzeQEMtJ9cCpy1Za3C/s320/layer.jpg" /></a>
<div align="justify"></div>
<div align="justify"></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-81848188978574376932009-10-29T16:15:00.001+07:002009-10-29T16:18:40.803+07:00การควบคุมโรค (Disease Control)<blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"> การจัดการฝูงไก่สาวหรือไก่แม่พันธุ์ และการแสดงออกทางพันธุกรรมที่สมบูรณ์จะสามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อไก่มีอิทธิพลจากโรคเข้ามารบกวนน้อยที่สุด การเกิดของโรคในไก่ไข่มีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งเราสามารถป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เพื่อลดอัตราการสูญเสีย การเกิดโรคส่งผลต่อต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวางหลายพื้นที่ แต่ได้มีการศึกษา มีการแยกแยะ มีการควบคุม การเกิดโรคเหล่านี้
</span></p></blockquote><blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"></span> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"> การป้องการทางชีวภาพ (Bio security) การป้องกันทางชีววิทยาเป็นการป้องกัน และหลีกเลี่ยงโรคได้ดีที่สุด การจัดการโปรแกรมการป้องกัน ด้านชีววิทยา มีการแยกแยะ และควบคุมโรค สามารถควบคุมโรคไม่ให้เข้าฟาร์มได้ได้ดี คนที่เข้าออกภายในฟาร์ม ควรมีการป้องกันและควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้มาเยี่ยมชมฟาร์มควรมีการจำกัดผู้มาเยี่ยมชมที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการติดต่อของทางฟาร์ม ผู้มาเยือนและคนงานของฟาร์มต้องมีการเข้าออกตรงส่วนกลางของพื้นที่ ที่มีการป้องกันมีการทำความสะอาดร่างกาย ผู้มาเยือนควรใส่รองเท้าหุ้มส้นที่ทางฟาร์มจัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ เมื่อมีการเข้าฟาร์มสัตว์มา ควรมีการงดเข้าฟาร์มอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนเดินทางเข้าฟาร์มอื่นต่อไป มีการทำความสะอาดรองเท้าบู๊ต เสื้อผ้า และในส่วนของศีรษะควรมีที่ครอบผมป้องกัน โดยมีการจัดหาไว้ให้เพียงพอสำหรับแขกผู้มาเยือนและแรงงานที่มีภายในฟาร์ม และควรมีที่จุ่มเท้าก่อนเข้าภายในโรงเรือนไก่ไข่ทุกโรงเรือน และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้แรงงาน และอุปกรณ์จากภายนอกฟาร์มมาปฏิบัติหน้าที่ โปรแกรมการให้วัคซีน เคลื่อนย้าย และตัดปาก และที่ควรเป็น คือ ควรมีแรงงานสำหรับปฏิบัติงานในโรงเรือนนั้น ๆ โดยเฉพาะ และควรเข้าฟาร์มในทิศทางเดียวของฝูงสัตว์ จากไก่รุ่นไปหาแม่ไก่แก่จากฟาร์มปกติ ไปฟาร์มป่วย และไม่ควรไปเข้าฟาร์ม หรือ สัตว์ฝูงอื่น ๆ อีก
</span></div><blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"></span> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"> การนำไก่ปดระวางออกนอกฟาร์ม เป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดโรคขึ้นได้ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งแม่ไก่ปดระวาง ซึ่งรถบรรทุกจะมีการเข้าออกฟาร์มอื่นอยู่บ่อย ๆ ควรมีการวางแผนพัฒนาระบบการป้องกัน ภัยอันตรายระหว่างการเข้าออกของคนงาน และอุปกรณ์ในการทำวัคซีน การย้ายฝูงไก่ และการตัดปาก
</span></div><blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"></span> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"> การเลี้ยงไก่แบบระบบเข้าหมดออกหมด เป็นการปฏิบัติและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ วิธีนี้จะสามารถขัดขวางการแพร่กระจายของเชื้อโรค จากไก่ฝูงหนึ่งไปสู่อีกฝูงหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหว โรงเรือนทั้งหมดควรออกแบบเพื่อขัดขวางเชื่อโรคที่อาจมาจากฝูงนก หรือลมที่พัดเข้ามา และควรจัดการฝังอย่างรวดเร็วเมื่อมีไก่ตาย
</span></div><blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"></span> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"> สัตว์จำพวกหนู เป็นพาหะของโรคเกี่ยวกับสัตว์ปีก และเป็นพาหะที่สำคัญในการนำพาเชื้อโรค เข้าสู่โรงเรือน และปนเปื้อน ซึ่งพวกมันจะวิ่งเข้าออกแต่ละโรงเรือนภายในฟาร์ม พื้นที่ในฟาร์มควรปราศจากซากปรักหักพัง และหญ้าขึ้นรกบริเวณฟาร์ม เนื่องจากอาจจะเป็นที่อยู่อาศัยของหนูได้ ขอบของโรงเรือนควรกว้างออกไปอย่างน้อย 1 เมตร และควรเป็นพื้นคอนกรีต เพื่อป้องกันหนูมาทำรังเป็นที่อยู่อาศัย อาหาร และถาดไข่ควรเก็บให้เป็นที่ และมีการตรวจหาพื้นที่พักพิงของหนู เพื่อวางกับดักทำลายได้ง่าย เพื่อตัดวงจรชีวิต อยู่เรื่อย ๆ
</span></div><blockquote><p align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"></span> </p></blockquote><div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#006600;"> การทำความสะอาดโรงเรือน และฆ่าเชื้อเพื่อเตรียมโรงเรือนให้พร้อม ก่อนลูกไก่ชุดใหม่จะเข้า โรงเรือนควรมีการทำความสะอาดด้วยเครื่องแรงดันสูง และน้ำที่อุ่น บางเวลาอาจจะอนุโลมให้ได้ หลังจากโรงเรือนแห้งควรรมควันก่อนที่จะนำฝูงไก่เข้าโรงเรือน และควรล้างโรงเรือนในด้านที่สูงกว่า และล้างมาในด้านที่ต่ำกว่า และควรทำความสะอาดอย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นช่องอากาศ พัดลม ใบพัด บานเกล็ด และระบบการให้น้ำต้องปราศจากเชื้อโรค อาหารและมูลควรเอาออกจากโรงเรือน ก่อนทำความสะอาด และทำการพักโรงเรือนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนนำไก่ฝูงใหม่เข้าโรงเรือน และควรมีการเอาใจใส่ตรวจสอบเชื้อ ซัลโมเนลล่า (Salmonella) อยู่เรื่อย ๆ โดยมีการตรวจสอบเป็นประจำ </span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-64421595209866459752009-10-07T15:54:00.003+07:002009-10-07T16:00:42.963+07:00Light and feed program<div align="justify"><span style="font-family:verdana;color:#993399;"><strong>โปรแกรมการให้แสงที่กระตุ้นการกินอาหารและการเจริญเติบโต</strong>
<blockquote></span><span style="font-family:verdana;color:#993399;">ในช่วงการเลี้ยง 2-3 วันแรก ควรจัดโปรแกรมการให้แสงให้อยู่ในระดับสูงสุด คือ 22-23 ชั่วโมง ที่ระดับความเข้มแสง 30-40 ลักซ์ เพื่อกระตุ้นการการกินน้ำและอาหารของไก่ หลังจากนั้นจึงค่อยๆลดระดับความเข้มแสง และระยะเวลาในการให้แสงลงเรื่อยๆ จนอยู่ที่ 10 ลักซ์ เมื่อไก่อายุ 15 วัน การปรับเปลี่ยนอื่นๆให้คำนึงถึงพฤติกรรมของตัวไก่
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjk0oxHLtDk9vQZ9vzQxYlSyuhwi6k28pGm6yoKmpjZiXOFIpbVN6xyHjzHIkMQn2Eu235Mki93NG330hJS7ifrpkXB81i1tFXvT9M1mdAR_V1q7EF_obIETTRGE-_k0OhcW1_maC_HAgRQ/s1600-h/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5389779872981124930" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 209px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjk0oxHLtDk9vQZ9vzQxYlSyuhwi6k28pGm6yoKmpjZiXOFIpbVN6xyHjzHIkMQn2Eu235Mki93NG330hJS7ifrpkXB81i1tFXvT9M1mdAR_V1q7EF_obIETTRGE-_k0OhcW1_maC_HAgRQ/s320/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87.gif" border="0" /></a> <blockquote></blockquote><blockquote></blockquote><strong>โปรแกรมการให้อาหารเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต
</strong><blockquote></blockquote><blockquote></blockquote>ไก่ในช่วงอายุ 1 วัน ถึง 5 อาทิตย์แรกจะไม่สามารถเปลี่ยนอาหารที่กินไปเป็นพลังงานในระดับที่ร่างกายต้องการได้ จึงควรให้อาหารในรูปเม็ดแตกขนาดเล็ก ที่มีความเข้มข้นของระดับโปรตีนและพลังงานที่เพียงพอ เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของไก่ (จนกระทั่งไก่จะมีน้ำหนักถึง 290 กรัม)
<blockquote></blockquote>ข้อสังเกตในการจัดการไก่อายุ 1 วัน
<blockquote></blockquote>- ล้างทำความสะอาดท่อให้น้ำ โดยไม่ให้เหลือผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อตกค้างในท่อน้ำ ในวันที่ลูกไก่มาถึง
<blockquote></blockquote>- ปรับระดับความสูงของนิปเปิลให้เหมาะสมและอยู่ในระดับสายตาของลูกไก่ วางที่ให้น้ำบนพื้นโรงเรือน
<blockquote></blockquote>- ปูกระดาษรองใต้หัวนิปเปิลและโรยอาหารเล็กน้อยบนกระดาษเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกไก่
<blockquote></blockquote>- ตรวจสอบความเรียบร้อยของนิปเปิลและที่ให้น้ำ เมื่อจะใช้งานให้ลูกไก่เห็นหยดน้ำออกจากหัวนิปเปิลด้วย
<blockquote></blockquote>- ให้อาหารหลังจากที่ลูกไก่ได้รับน้ำเพียงพอแล้ว หรือประมาณ 4 ชั่วโมงหลังจากการกก</span></blockquote></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-29080460742315720792009-10-06T14:26:00.001+07:002009-10-06T14:33:37.422+07:00Beak Trimming<div align="justify"><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#3333ff;"><strong>การตัดปากลูกไก่ <blockquote></blockquote></strong> การตัดปากไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการจัดการเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตามถ้าลูกไก่ได้รับการตัดปาก จะต้องมีการปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด และสมบูรณ์ ลูกไก่ต้องมีการตักปากที่สมบูรณ์ทั้งหมดในกลุ่ม โดยใช้แสงอินฟาเรตในการตัด ซึ่งต้องทำการตัด เมื่อลูกไก่มีอายุประมาณ 7-10 วัน สำหรับเพลตที่ใช้ในการตัดปากมี 3 ขนาด คือ 4.00, 4.37 และ 4.75 มิลลิเมตร <blockquote></blockquote>
การเลือกขนาดของรูให้เหมาะสม ควรมีความกว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร ระหว่างรูจมูก และวงแหวนของเหล็กจี้ ขนาดของการตัดปากที่สมบูรณ์จะต้องขึ้นอยู่กับขนาด และอายุของลูกไก่ด้วย และจงอยปากของไก่ต้องเป็นปกติเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 12-14 <blockquote></blockquote><strong>ข้อควรปฏิบัติในขั้นตอนของการตัดปากไก่</strong> <blockquote></blockquote> 1. ไม่ทำการตัดปากไก่ขณะที่ไก่กำลังป่วย <blockquote></blockquote> 2. พนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ควรกระทำด้วยความรีบร้อน <blockquote></blockquote> 3. ควรให้ลูกไก่ได้รับอีเล็กโทไลต์ (ควรมีส่วนผสมของวิตามิน เค) ก่อนทำการตัดปาก อย่างน้อย 2 วัน และหลังจากตัดปาก 2 วัน <blockquote></blockquote> 4. มีการเอาใจใส่ดูแล ควบคุมการให้อาหารหลังจากตัดปาก ถ้าจะมีการใส่ยากันบิด ในอาหารสัตว์ ควรทำการเสริมในน้ำก่อนระยะแรก และควรเปลี่ยนมาทำการเสริมในอาหารแทนเมื่อไก่หายเป็นปกติแล้ว <blockquote></blockquote> 5. ควรมีการอบรมให้ความรู้พนักงานให้เข้าใจก่อนปฏิบัติหน้าที่</span></span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-61816346452143849742009-10-06T14:01:00.001+07:002009-10-06T14:25:21.009+07:00Parents Breed Management<div align="justify"><span style="font-family:verdana;"><strong>การจัดการไก่พ่อแม่พันธุ์ <blockquote></blockquote> </strong>การจัดการกลุ่มไก่พ่อแม่พันธุ์ เป็นงานอีกด้านหนึ่งของการเพิ่มสมรรถนะการผลิตในไก่ไข่ เมื่อไก่มีอายุอยู่ในช่วงระหว่าง 20 สัปดาห์ ต้องมีการกระตุ้นให้ไก่ดื่มน้ำ วิตามิน แร่ธาตุ ตั้งแต่ 2-3 วัน ก่อนการย้ายไก่เข้าโรงเรือน ความชื้นสัมพัทธ์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ ต้องมีการเอาใจใส่ และสามารถควบคุมได้ ซึ่งจะส่งผลต่อสมรรถนะการผลิตของแม่ไก่ด้วย ซึ่งค่าความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 40-60 % ในช่วงแรกของการนำไก่เข้าโรงเรือน และเมื่อถึงระยะสุดท้ายของการเลี้ยงความชื้นสัมพัทธ์ควรอยู่ระหว่าง 30-40 % <blockquote></blockquote> พนักงานประจำฟาร์มควรมีการควบคุม และลดอุณหภูมิลงประมาณ 2-3 องศาเซลเซียสต่อสัปดาห์ จนมีระดับที่ 21 องศาเซลเซียส สำหรับไก่พ่อแม่พันธุ์ที่จะต้องนำมารวมกันในโรงเรือนเดียวกัน จะต้องนำมาไว้ในโรงเรือนเดียวกันก่อนจะถึงระยะเวลาในการผสมพันธุ์ ประมาณ 4 สัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าไก่พ่อพันธุ์มีพฤติกรรมที่พร้อมจะผสมพันธุ์กับไก่แม่พันธุ์ได้</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-43446619223942517052009-09-19T10:19:00.002+07:002009-09-19T10:21:27.945+07:00Should consider in raw material filtration that is amino acids source<span style="font-family:verdana;"><strong><span style="color:#009900;">ข้อควรพิจารณาในการเลือกวัตถุดิบที่เป็นแหล่งโปรตีนและกรดอะมิโน</span>
</strong></span><span style="font-family:verdana;"><strong><blockquote><span style="color:#009900;"></span></blockquote><div align="justify"></strong><span style="color:#009900;"> 1. คุณภาพของโปรตีนสำคัญกว่าปริมาณของโปรตีน ในการเลือกวัตถุดิบที่เป็นแหล่งโปรตีนสำหรับสัตว์ ควรเลือกเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ มีความสม่ำเสมอของโภชนะ มีการตรวจสอบได้ ไม่มีการปลอมปน การประกอบสูตรอาหารสำหรับสัตว์ ต้องคำนวณโปรตีน และกรดอะมิโนให้สมดุล คือ มีกรดอะมิโนที่จำเป็นแก่การนำไปใช้ในกระบวนการผลิตสารต่างๆของร่างกายสัตว์ครบทุกตัว และมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของสัตว์ และที่สำคัญมีสัดส่วนของกรดอะมิโนสมดุลจะทำให้สัตว์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุดเต็มประสิทธิภาพการผลิตของสัตว์</span> <blockquote></blockquote><span style="color:#009900;"> 2. กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนในร่างกายของสัตว์แต่ละครั้ง จะต้องมีกรดอะมิโนที่จำเป็นแก่ร่างกายครบทุกตัวในปริมาณ และอัตราส่วนที่เหมาะสมในเวลาเดียวกันด้วย สัตว์จึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งการมีกรดอะมิโนที่เหลือ หรือตกค้าง สัตว์จะทำการขับออกทางปัสสาวะ ทั้งนี้จะส่งผลทำให้เป็นมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม และกระทบต่อต้นทุนทางด้านอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นโดยตรงอีกด้วย </span><blockquote></blockquote><span style="color:#009900;"> 3. ในการประกอบสูตรอาหารสำหรับสัตว์นั้น พึงนึกไว้ตลอดว่า ร่างกายสัตว์สามารถเก็บสะสมโปรตีน และกรดอะมิโนได้ในปริมาณจำกัดในระดับหนึ่งเท่านั้น ในการประกอบสูตรอาหารจึงต้องมีการคัดสรรวัตถุดิบที่เป็นแหล่งของโปรตีนที่สามารถย่อยสลาย และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยครับ </span><blockquote></blockquote><span style="color:#009900;"> 4. โปรตีนหรือกรดอะมิโนที่สัตว์ได้รับ เมื่ออยู่ในร่างกายจะมีสภาพเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา คือ โปรตีนเนื้อเยื่อ (กล้ามเนื้อ, เนื้อแดง, เนื้อไก่, เนื้อหมู) มีการสลายตัวและมีการแลกเปลี่ยนกรดอะมิโนระหว่างเนื้อเยื่อและเลือดอยู่เสมอ</span></span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-56044882892617999162009-09-19T10:16:00.001+07:002009-09-19T10:18:53.779+07:00Uses amino acids in the feed<strong><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#333399;">การนำกรดอะมิโนสังเคราะห์มาใช้ในอาหารสัตว์</span>
</strong><strong><blockquote><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#333399;"></span></blockquote></strong><div align="justify"><span style="font-family:verdana;font-size:130%;color:#333399;"> ในการคำนวณสูตรอาหารสำหรับสัตว์ แต่ละชนิด และแต่ละช่วงอายุ มักมีปัญหา คือ การคำนวณสูตรอาหารที่ได้ มีระดับกรดอะมิโน และสัดส่วนกรดอะมิโน ในวัตถุดิบที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของสัตว์ มากเกินความต้องการของสัตว์ไปบ้าง น้อยกว่าความต้องการของสัตว์ไปบ้าง นำม่ซึ่งสัตว์โตไม่เต็มประสิทธิภาพ และต้นทุนการผลิตที่สูงเกินจำเป็น จึงมีการแก้ปัญหาโดยการนำกรดอะมิโนสังเคราะห์มาใช้ผสมในอาหารสัตว์ ซึ่งที่มีขายในท้องตลาดทั่วไปตอนนี้ ก็มี แอล-ไลซีนโมโนไฮโดคลอไรด์ (l- lysine monohydrochloride), แอล-ไลซีนซัลเฟส (l- lysine sulphate), ดีแอล-เมทไธโอนีน (dl-methionine), แอล-ทรีโอนีน (l-threonine), และ แอล-ทรีปโตแฟน (l-tryptophane) </span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-57739503063179403722009-09-19T10:12:00.002+07:002009-09-19T10:16:37.583+07:00The effect is in case of animal not take the amino acids<div align="justify"><strong><span style="font-family:verdana;color:#993300;">ผลกระทบกรณีที่สัตว์ขาดกรดอะมิโน </span><blockquote></blockquote></strong><span style="font-family:verdana;color:#993300;"> การขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นในการสังเคราะห์โปรตีน มีผลกระทบอย่างมากต่อตัวสัตว์ในด้านสมรรถนะการเจริญเติบโต แต่ที่เราเห็นผลกระทบเด่นชัดกันมากเมื่อมีการขาดคือ กรดอะมิโนเมทไธโอนีน และกรดอะมิโนไลซีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มักขาดเป็นตัวแรก ๆ (first limiting amino acid) ในวัตถุดิบอาหารสัตว์เพื่อใช้สำหรับกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน เนื่องจากเมทไธโอนีนเป็นกรดอะมิโนตัวแรกที่ใช้สำหรับเป็นตัวเริ่มต้นสำหรับกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน ดังนั้นปริมาณเมทไธโอนีนที่น้อยหรือมากเกินไป จึงมีผลกระทบต่อความสมดุลของกรดอะมิโนชนิดอื่น ๆ การขาดเมทไธโอนีนจะส่งผลให้ความสมดุลไนโตรเจน ประสิทธิภาพการใช้อาหาร และอัตราการเจริญเติบโตของสัตว์ลดลง ทั้งนี้เนื่องจากการขาดเมทไธโอนีนจะทำให้การสังเคราะห์โปรตีนหยุดชะงัก ทำให้จำนวนโปรตีนที่สังเคราะห์มีจำนวนน้อย ตามระดับเมทไธโอนีนที่ลดลง นอกจากนี้ความต้องการเมทไธโอนีน ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างกล้ามเนื้อ (lean growth potential) ของสัตว์ ซึ่งในปัจจุบันมีการปรับปรุงสายพันธุ์สัตว์ให้มีสมรรถการผลิตสูง มีความสามารถในการสร้างเนื้อแดงในปริมาณสูงขึ้น </span><blockquote></blockquote><span style="font-family:verdana;color:#993300;"> ทั้งนี้ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน สัตว์ต้องการใช้กรดอะมิโนทุกตัวทั้งกรดอะมิโนที่จำเป็น และกรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น ทั้งปริมาณ และสัดส่วนที่สมดุลกัน เพื่อให้สัตว์สามารถใช้ประโยชน์จากกรดอะมิโนได้เต็มประสิทธิภาพของพันธุกรรมที่พัฒนาขึ้นมาได้ โดยเฉพาะกรดอะมิโนไลซีนต้องได้รับในปริมาณที่เพียงพอ เนื่องจากเป็นกรดอะมิโนที่พบเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างโปรตีนในเนื้อแดงของสัตว์ในปริมาณที่สูง จึงทำให้สัตว์มีความต้องการปริมาณที่สูง เพื่อนำไปสังเคราะห์โปรตีน สำหรับการเจริญเติบโตและกระบวนการสร้างเนื้อแดง ดังนั้นในการประกอบสูตรอาหาร จึงต้องคำนึงถึงปริมาณเมทไธโอนีนและไลซีน และกรดอะมิโนชนิดอื่น ๆ ในอาหาร และสมดุลของกรดอะมิโน ให้เพียงพอกับความต้องการของสัตว์เป็นสำคัญ</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-84876614547834322902009-09-18T11:10:00.002+07:002009-09-18T11:11:38.437+07:00Poison occurrence of Amino acids<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRDnbsdaEUypgRjZp5gQ8vfcbACWphBZZZNGuwPACh0TABrYAqeRwbplY4DoJIaQUH7q3gkhIKgXyn5azdfpwHtfVi3St2P-WuEldMx5vdzE0peXAkocHT0xQq_HoLpa74hfo8tb43X094/s1600-h/pig+(19).JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5382655126700349042" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRDnbsdaEUypgRjZp5gQ8vfcbACWphBZZZNGuwPACh0TABrYAqeRwbplY4DoJIaQUH7q3gkhIKgXyn5azdfpwHtfVi3St2P-WuEldMx5vdzE0peXAkocHT0xQq_HoLpa74hfo8tb43X094/s320/pig+(19).JPG" border="0" /></a>
<div align="justify"><span style="color:#000099;"><span style="font-family:verdana;"><strong>การเกิดพิษกรณีที่สัตว์ได้รับกรดอะมิโนปริมาณที่มากเกิน
<blockquote></blockquote></strong>
กรดอะมิโนที่สัตว์ได้รับเมื่อมีปริมาณที่เกินความต้องการของสัตว์ในปริมาณที่สูงมาก แทนที่มันจะมีประโยชน์สำหรับสัตว์ นอกจากจะทำให้มีต้นทุนที่สูงจนเกินความจำเป็นแล้ว ยังจะมีผลทำให้เกิดการยั้งยังการใช้โภชนะระหว่างกันอีกด้วย ซึ่งจะทำให้สัตว์เจริญเติบโตไม่เต็มประสิทธิภาพ และยังไปขัดขวางการเจริญเติบโตด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้ามีปริมาณเมทไธโอนีนในอาหารที่มากเกินความต้องการของสุกร ซึ่งทำให้เกิดความไม่สมดุลของกรดอะมิโนในอาหาร จะส่งผลทำให้เกิดพิษต่อร่างกายสัตว์ ทำให้การสังเคราะห์โปรตีนที่ได้ เพื่อใช้สำหรับกระบวนเจริญเติบโตเปลี่ยนไป ร่างกายสัตว์ต้องนำกรดอะมิโนไปสังเคราะห์โปรตีนเพื่อรักษาเซลล์โครงสร้างของร่างกายแทน และซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายจากการเกิดพิษของเมทไธโอนีน และเพื่อการขับกรดอะมิโนเมทไธโอนีนส่วนที่เกินมา </span></span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-59755327891109292632009-09-18T11:07:00.002+07:002009-09-18T11:09:50.673+07:00Equilibrium of the nitrogen<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxHgSBfI3a2eZBWZVqlsUinrkAV6ev_NIAZUZbclmWLq9vpNX-hzGrr5Tw6OuGlq7OJEbQwaUDchaD8fky4rN_THNMVKS_4mICwbA2Aozskg7aDoKz0v7QiyejyNYjrOyX52pMkRV3lBOe/s1600-h/pig+(45).JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5382654761208568706" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxHgSBfI3a2eZBWZVqlsUinrkAV6ev_NIAZUZbclmWLq9vpNX-hzGrr5Tw6OuGlq7OJEbQwaUDchaD8fky4rN_THNMVKS_4mICwbA2Aozskg7aDoKz0v7QiyejyNYjrOyX52pMkRV3lBOe/s320/pig+(45).JPG" border="0" /></a> <span style="font-family:verdana;"><span style="color:#330099;"><strong>สมดุลของไนโตรเจน
<div align="justify"><blockquote></blockquote></strong>คือ ภาวะที่ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดที่ร่างกายสัตว์ได้รับเข้าไปในแต่ละวันมีความสมดุลกับปริมาณสารไนโตรเจนทั้งหมดที่ร่างกายสัตว์ขับออกมา ในสัตว์ที่กินอาหารปกติ และเพียงพอจะมีปริมาณของไนโตรเจนในร่างกายคงที่ ซึ่งไนโตรเจนส่วนใหญ่ที่ขับออกจะได้จากการย่อยสลายโปรตีนส่วนเกินในร่างกาย หรือได้มาจากโปรตีนที่มีการหมุนเปลี่ยนทดแทนกัน ซึ่งมีการสังเคราะห์และสลายโปรตีนทดแทนเป็นปกติของเซลล์ร่างกาย (protein turnover) แต่ในบางภาวะร่างกายอาจจะอยู่ในสภาวะที่มีดุลไนโตรเจนเป็นลบหรือบวกได้
</span></span></div><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#330099;"><strong>
<blockquote></blockquote>สมดุลไนโตรเจน มี 3 แบบ
<blockquote></blockquote></strong>1. สมดุลไนโตรเจน (nitrogen equilibrium) ปริมาณไนโตรเจนที่ร่างกายขับถ่ายเท่ากับปริมาณที่ได้รับ เป็นภาวะที่พบได้ในสัตว์ปกติ การขับไนโตรเจนเปลี่ยนแปลงได้ตามปริมาณอาหารโปรตีน เมื่อได้รับอาหารโปรตีนมากจะขับไนโตรเจนออกมามาก เมื่อลดอาหารโปรตีนลง ในวันแรกๆร่างกายจะยังคงขับไนโตรเจนออกมามากอยู่เช่นเดิมทำให้ดุลไนโตรเจนเป็นลบ ต่อมาอีก 2-3 วัน ร่างกายจะขับไนโตรเจนน้อยลงทำให้เกิดสมดุลใหม่ซึ่งมีการขับไนโตรเจนน้อยลงกว่าเดิมเพื่อให้ได้สมดุลกับปริมาณโปรตีนที่ได้รับจากอาหาร
<blockquote></blockquote>2. สมดุลเป็นบวก (positive nitrogen balance) ไนโตรเจนที่ขับออกมีน้อยกว่าปริมาณที่ได้รับ แสดงว่า ร่างกายกำลังสะสมไนโตรเจนซึ่งส่วนใหญ่เป็นโปรตีนของกล้ามเนื้อ พบได้ในภาวะที่มีการสร้างเนื้อเยื่อของสัตว์ที่กำลังเจริญเติบโตตั้งแต่แรกเกิด จนถึงวัยเจริญพันธุ์
<blockquote></blockquote>
3. สมดุลเป็นลบ (negative nitrogen balance) มีการขับไนโตรเจนออกจากร่างกายมากกว่าที่ได้รับจากอาหาร แสดงว่า กำลังมีการสลายโปรตีนของเนื้อเยื่อมาใช้ เช่น ในสภาวะสัตว์กำลังขาดอาหาร เจ็บป่วย เป็นต้น</span></span>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7136347147971554632.post-53294450217934453172009-09-18T11:05:00.001+07:002009-09-18T11:07:16.541+07:00Ideal protein<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiR0HaIPIMIGKozgBjlvIzdvxGFY2wkRSF5FDUj5YDkDqoXu5xbaWM4vKfgvjY7KLHnV02D499yZITRp_nkgVRFp5LTTiHeA8txWUX5-3wynrokqDSItiDVjE9roNy3K5BUnl9UfpVMW_yc/s1600-h/pig+(24).JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5382654144421330466" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiR0HaIPIMIGKozgBjlvIzdvxGFY2wkRSF5FDUj5YDkDqoXu5xbaWM4vKfgvjY7KLHnV02D499yZITRp_nkgVRFp5LTTiHeA8txWUX5-3wynrokqDSItiDVjE9roNy3K5BUnl9UfpVMW_yc/s320/pig+(24).JPG" border="0" /></a>
<div align="justify"><span style="font-family:verdana;"><span style="color:#cc33cc;"><strong>โปรตีนสมบูรณ์คืออะไร</strong>
สัตว์แต่ละชนิดต้องได้รับกรดอะมิโนที่จำเป็นแก่ร่างกายครบถ้วน ทั้งสัดส่วน และปริมาณ ซึ่งรูปแบบของโปรตีนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ </span></span>
<blockquote></blockquote>
<span style="font-family:verdana;color:#cc33cc;">1. โปรตีนสมบูรณ์ (ideal protein) หมายถึง โปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นแก่ร่างกายของสัตว์ครบทุกตัว มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของสัตว์ และสัดส่วนที่สมดุลกัน แหล่งโปรตีนที่มีโปรตีนสมบูรณ์ที่เรารู้จักกัน และใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง คือ โปรตีนจากไข่แดง โปรตีนจากไข่ทั้งฟอง โปรตีนจากนม เป็นต้น ส่วนแหล่งวัตถุดิบที่มีโปรตีนสมบูรณ์ใกล้เคียงกับไข่แดง มักเป็นวัตถุดิบที่ได้จากสัตว์ เช่น ปลาป่น เนื้อป่น หมูป่น ไก่ป่น ไข่ผง และผลิตภัณฑ์นม </span>
<blockquote></blockquote>
<span style="font-family:verdana;color:#cc33cc;">2. โปรตีนไม่สมบูรณ์ หมายถึง โปรตีนที่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นแก่ร่างกายสัตว์ไม่ครบทุกตัว หรือมีครบทุกตัว แต่บางตัวมีปริมาณต่ำ ไม่เพียงพอ ทำให้มีสัดส่วนของกรดอะมิโนไม่เหมาะสมในการนำไปสังเคราะห์โปรตีนของสัตว์ได้ แหล่งโปรตีนส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบที่มาจากพืช เช่น กากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง ถั่วเหลืองไขมันเต็ม กากเมล็ดทานตะวัน กากคาโนลา เป็นต้น ซึ่งวัตถุดิบที่ได้จากพืชเหล่านี้มักมีกรดอะมิโนตัวใดตัวหนึ่งไม่เพียงพอ จึงทำให้การนำกรดอะมิโนไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนที่ได้ต่ำ ไม่เต็มประสิทธิภาพ</span></div>Suntornkahttp://www.blogger.com/profile/17551229857908177660noreply@blogger.com0